
Table of contents
Prodigio กับ Prodigio Pro ต่างกันอย่างไร เพื่อความเข้าใจและใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อ ผมสรุปมาให้แล้ว 5 ข้อแตกต่างระหว่าง Prodigio กับ Prodigio Pro

1. ลักษณะการใช้งาน
เป็นหัวใจหลักในการออกแบบรองเท้าของ La Sportiva เสมอมา เพื่อใช้ในการพิจารณาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกรองเท้าได้ตามความเหมาะสม
1.1. Prodigio จะเน้นใช้งานที่หลากหลาย ใช้งานได้ในทุกๆลักษณะพื้นผิว ให้ความมั่นคง (Stable) ที่มากกว่า ซึ่งตัวพื้นจะรู้สึกแน่นกว่า
1.2. Prodigio Pro จะเน้นที่การแข่งขันทำความเร็วบนทาง Technical ให้การซัพพอร์ทที่มากกว่า ให้การตอบสนอง (Reactivity) ที่มากกว่าและเด้งกว่า ทำให้ช่วยเพิ่มความเร็วในการแข่งขันบนทางเทรลแบบ Technical และ เทรลระยไกลแบบUltra Trail ได้ดี
2. ผ้า Upper
เป็นส่วนที่ส่งผลต่อความรู้สึกกระชับสบาย เวลาสวมใส่มากที่สุด
2.1. Prodigio จะเป็นแบบ ผ้าตาข่าย High tenacity mesh ที่ห่อกระชับเท้า ระบายอากาศได้ดี
2.2. Prodigio Pro เป็นเส้นใย Yarn ที่ทอเข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยี Power wire ช่วยให้ Upper มีความโปร่งมากกว่าปกติ และยังช่วย ”ถ่ายเท” แรงกระแทกที่เกิดขึ้นขณะลงเท้า ให้แรงไหลลงไปสู่ชั้น Midsole ลดความล้าของเท้าได้
3. พื้นชั้นกลาง (Midsole)
กับเทคโนโลยีการผลิตที่ La Sportiva ไม่เคยหยุดพัฒนาเพื่อการวิ่งเทรลที่ปลอดภัยบนทางเทรลทุกรูปแบบ
3.1. Prodigio ใช้เทคโนโลยี XFlow ในการผลิตพื้นชั้น Midsole เป็นการฉีดไนโตรเจนเข้าไปในพื้น EVA เพื่อให้น้ำหนักเบาและระบแรงกระแทกได้ดีกว่า พื้นEVAแบบทั่วไป
3.2. Prodigio Pro ใช้การซ้อนกันของพื้นMidsole 3 ชั้น โดย
[1] เทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดคือ XFlowSpeed ที่ใช้วัสดุ TPU ที่มีความเด้งและส่งแรงได้ดี ร่วมกับ
[2] แผ่นพื้น Semi-Rigid ที่ทำหน้าที่คล้ายแผ่นคาร์บอน ช่วยให้เด้งประหยัดแรง แต่ให้ตัวได้มากกว่าแผ่นคาร์บอน เพื่อให้เคลื่อนที่ได้คล่องตัวบนทาง Technical และ
[3] พื้นชั้น XFlow ที่คอยทำหน้าที่รับแรงกระแทกตลอดการวิ่งในระยะ Ultra Trail
4. พื้นชั้นนอก (Outsole)
ด้วยลักษณะเฉพาะของ Compound ในเนื้อวัสดุ FriXion ที่ใช้ในการผลิตพื้นชั้นนอก ส่งผลต่อลักษณะการใช้งานของรองเท้าในแต่ละรุ่น
4.1. Prodigio เน้นในการใช้งานที่หลากหลาย มาพร้อม พื้นชั้นนอกแบบ FriXion Red (สัญลักษณ์ตัว X สีแดง) ที่บอกถึงความทนทานในการใช้งานบวกกับความสามารถในการยึดเกาะได้ดีบนทุกพื้นผิว ดอกยางลึก 3.5 mm ไม่ลึกและไม่ตื้นเกินไป จึงเหมาะกับการวิ่งในเทรลทุกๆรูปแบบ
4.2. Prodigio Pro เน้นในการวิ่งบนทาง Technical Trail ที่ต้องการการยึดเกาะแบบสูงสุด ด้วยพื้นชั้นนอกแบบ FriXion White (สัญลักษณ์ตัว X สีขาว) ที่ขึ้นชื่อว่า Super Sticky เป็นเนื้อ Compound ที่ให้ความหนึบในการยึดเกาะสูงสุด บวกกับดอกยางที่ลึก 4mm ทำให้ Prodigio Pro ยึดเกาะได้สูงสุด เพื่อลดทุกความผิดพลาดในการวางเท้า และโอกาสเกิดอุบัติเหตุในทุกๆก้าวบนทาง Technical Trail
5. โครงสร้างโดยรวม
ส่งผลต่อ Character ของรองเท้าและคาแลตเตอของร์ผู้สวมใส่
5.1. ทั้ง 2 รุ่นมี Drop 6mm เท่ากัน ส้นหนา 34mm หน้า 28mmเท่ากัน
5.2. Prodigio Pro มีโครงสร้างบริเวณข้อเท้า Heel lock เป็นแบบ Elastic Knit Collar เพิ่มความกระชับให้กับข้อเท้า และลดการขยับที่มากเกินไปของเท้า เพื่อความมั่นใจในการวิ่งบนทาง Technical ในขณะที่ Prodigio มีข้อเท้าที่กว้างกว่าสวมใส่สบายและคล่องตัวกว่า
5.3. Prodigio Pro มีความโค้งเป็น Rocker มากกว่า (หรือเรียกว่ามี Short Transition) ทำให้เวลาวิ่ง จะรู้สึกกลิ้งๆไหลๆมากกว่า
5.4. Prodigio Pro มีน้ำหนักที่เบากว่า ยิ่งถือบนมือเปรียบเทียบยิ่งเห็นได้ชัด น้ำหนักต่อข้างอยู่ที่ 255g ซึ่งถือว่าเบามากๆสำหรับรองเท้าที่มีพื้นหนาขนาด 34mm
สรุป
ถ้าคุณเน้นวิ่งเรื่อยๆ ยาวๆ นานๆ เลือก Prodigio เพื่อการซัพพอร์ทและความมั่นคงของเท้าตลอดการวิ่ง ซึ่งก็สามารถนำไปใช้ในการเดินป่า(light hiking) ได้ด้วย
ถ้าคุณเน้นวิ่งเทรล เพื่อทำความเร็วระดับปานกลางถึงมาก และเน้นความปลอดภัยและความมั่นใจบนทาง Technical เลือก Prodigio Pro
รายละเอียดส่วนประกอบของ Prodigio Pro สามารถอ่านได้ที่บทความนี้ครับ
ถ้าคุณต้องการไปให้ไกลขึ้น และเร็วขึ้น
บนทางเทรลแบบ Technical